การใช้งาน Cloud Storage

การทำงานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติงานมักจะมีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์จำนวนหลายเครื่อง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน, เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน, เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ประเภท Smart Device ซึ่งการนำไฟล์จากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่งมักทำโดยการคัดลอกลงใน External Memory เช่น Flash Drive, External Harddisk หรือ Memory Card เป็นต้น ทำให้บ่อยครั้งพบปัญหา ดังนี้

1. เกิดความยุ่งยากในการคัดลอกไฟล์ – เป็นการเพิ่มกระบวนการทำงานเพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องคัดลอกไฟล์ขนาดใหญ่ทำให้ต้อง       ใช้เวลามาก
2. มีปัญหาในการโอนไฟล์ข้ามประเภทของอุปกรณ์ – เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ Smart Device ใช้ External                      Memory คนละประเภท ดังนั้นการโอนไฟล์ข้ามประเภทของอุปกรณ์อาจต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม
3. เกิดความสับสนเรื่องการ Update ไฟล์ – ผู้ปฏิบัติงานจำไม่ได้ว่าไฟล์จากเครื่องใดเป็นไฟล์ที่แก้ไขล่าสุด
4. สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และต้องดูแลรักษา – External Memory จำเป็นต้องใช้เงินซื้อ และต้องดูแลรักษา ซึ่งเสี่ยงต่อชำรุด การติด              Virus หรือการสูญหายของทั้งไฟล์ข้อมูลและอุปกรณ์

ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยี Web 3.0 มีผู้ให้บริการฝากข้อมูลบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในรูปแบบ Cloud Service จำนวนหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น Microsoft OneDrive, Google Drive หรือ DropBox โดยผู้ให้บริการดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือและให้การยืนยันในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยว่าไฟล์ข้อมูลที่เก็บไว้จะไม่มีการสูญหาย ติด Virus หรือถูกละเมิดอย่างแน่นอน

การใช้บริการ Cloud Storage โดยปกติจะต้องใช้งานผ่านเว็บไซต์ จึงจำเป็นต้องเปิด Web browser และคัดลอกไฟล์ที่ต้องการลงบน Storage ซึ่งจะมีความยุ่งยากไม่ต่างจากการใช้ External Memory อีกทั้งยังไม่สามารถป้องกันความสับสนเรื่องการ Update ไฟล์ข้อมูลได้ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงจำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมพร้อมปรับแต่งอีกเล็กน้อย

ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บไฟล์ข้อมูล โดยการใช้งาน Cloud Storage ตามผลิตภัณฑ์ที่จะนามาใช้ ได้แก่ การใช้งาน Microsoft OneDrive การใช้งาน Google Drive และการใช้งาน DropBox